สังคม » เชียงใหม่-(ทส)ส่งเฮลลิคอปเตอร์ 2ลำ ประจำการที่เชียงใหม่-ลำพูน ลาดตระเวน-ดับไฟป่า ทส. ส่ง H130 และ AS350 เสริมภารกิจภาคเหนือ

เชียงใหม่-(ทส)ส่งเฮลลิคอปเตอร์ 2ลำ ประจำการที่เชียงใหม่-ลำพูน ลาดตระเวน-ดับไฟป่า ทส. ส่ง H130 และ AS350 เสริมภารกิจภาคเหนือ

16 มีนาคม 2025
144   0

Social Share

เชียงใหม่-(ทส)ส่งเฮลลิคอปเตอร์ 2ลำ ประจำการที่เชียงใหม่-ลำพูน ลาดตระเวน-ดับไฟป่า ทส. ส่ง H130 และ AS350 เสริมภารกิจภาคเหนือ

 

16 มีนาคม 2568 เชียงใหม่ รายงานคุณภาพอากาศวันนี้ ระดับ PM 2.5 อยู่ระหว่าง 43.2-73.4 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร ขณะที่รอบเช้าพบ จุด Hotspot รวม 163 จุด โดยกระจายอยู่ในหลายอำเภอ ได้แก่

• อำเภอฮอด 48 จุด

• อำเภอเชียงดาว 31 จุด

• อำเภออมก๋อย 22 จุด

• อำเภอไชยปราการ 11 จุด

• อำเภอแม่แตง 9 จุด

• อำเภอพร้าว, สันทราย, แม่วาง อำเภอละ 8 จุด

• อำเภอดอยเต่า 7 จุด

• อำเภอแม่แจ่ม 6 จุด

• อำเภอจอมทอง 3 จุด

• อำเภอดอยหล่อ 2 จุด

 

กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) ได้ส่งเฮลิคอปเตอร์ H130 และ AS350 จำนวน 2 ลำ ประจำการที่จังหวัดเชียงใหม่ เพื่อสนับสนุนภารกิจร่วมกับกองทัพอากาศและกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) โดยมุ่งเน้น ลาดตระเวนทางอากาศและปฏิบัติการดับไฟป่า ในพื้นที่เสี่ยง

.

เฮลิคอปเตอร์ H130 รุ่นใหม่ ใช้เชื้อเพลิงอากาศยานแบบยั่งยืน (SAF) ถึง 39% ลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ สอดคล้องกับมาตรการด้านสิ่งแวดล้อมตาม ข้อตกลงปารีส (NDC) พร้อมระบบ ออโตไพลอต เพิ่มความแม่นยำในการบิน สามารถบรรทุกได้ 7 คน รับน้ำหนักสูงสุด 2,500 กิโลกรัม และมีพิสัยการบินระหว่าง 180 – 300 กิโลเมตร หรือประมาณ 3 ชั่วโมง ด้าน AS350 ถูกออกแบบมาให้รองรับภารกิจที่หลากหลาย โดยเฉพาะการ บรรทุกน้ำดับไฟ ซึ่งสามารถ ขนส่งน้ำได้ถึง 500 ลิตรต่อเที่ยว

.

กัปตันศักดิ์ชัย นักบินเฮลิคอปเตอร์เปิดเผยว่า อากาศยานทั้งสองรุ่นสามารถรองรับภารกิจสำคัญ ได้แก่ ภารกิจตักน้ำดับไฟ – รองรับน้ำ 500 ลิตรต่อเที่ยว ภารกิจส่งกำลังสนับสนุน – ขนส่งเจ้าหน้าที่และอุปกรณ์เข้าไปในพื้นที่ห่างไกล ภารกิจลาดตระเวนทางอากาศ – ตรวจสอบและเฝ้าระวังจุดเสี่ยงไฟป่า โดยเฉพาะพื้นที่ อำเภอเชียงดาว ซึ่งมีภูเขาสูงและหุบเขาลึก นักบินต้องใช้เทคนิค “Skid Landing” (แตะขอบผา) เพื่อลำเลียงเจ้าหน้าที่ลงพื้นที่ที่ยานพาหนะภาคพื้นดินเข้าไม่ถึง

.

เฮลิคอปเตอร์ H130 ปฏิบัติภารกิจล่าสุดใน จังหวัดลำพูน สนับสนุนการดับไฟป่า หลังจากก่อนหน้านี้สามารถ ตักน้ำดับไฟได้ถึง 48 เที่ยวบิน ในอำเภอเชียงดาว ช่วยควบคุมสถานการณ์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

.

ขณะที่ อำเภอฮอด ได้รับการสนับสนุนเฮลิคอปเตอร์ Mi-17 ซึ่งสามารถบรรทุกน้ำได้ถึง 4,000 ลิตรต่อเที่ยวบิน ทำให้สามารถเข้าดับไฟป่าในพื้นที่ลาดชันที่ยากต่อการเข้าถึง โดย Mi-17 เริ่มปฏิบัติการตั้งแต่ 11.20 น. เน้นโปรยน้ำในจุดที่ไฟลุกลามหนัก ควบคู่กับภารกิจลาดตระเวนทางอากาศ

.

นอกจากปฏิบัติการดับไฟป่าแล้ว ยังมีแผนบินเพื่อบรรเทาปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็ก (PM2.5) โดยหน่วยดัดแปรสภาพอากาศ ซึ่งมีปฏิบัติการทางอากาศในพื้นที่ เชียงใหม่, ลำพูน, ลำปาง และแม่ฮ่องสอน

 

 

ปฏิบัติการบิน วันที่ 16 มีนาคม 2568

10.20 น. – เครื่องบิน CN ปฏิบัติการบิน ลดอุณหภูมิฝุ่น PM2.5 ใช้น้ำ 2,000 กิโลกรัม บินเหนือ อำเภอสันทราย – อำเภอแม่แตง

10.30 น. – เครื่องบิน CARAVAN ใช้สารฝนหลวงสูตร 3 ปริมาณ 1,400 กิโลกรัม บริเวณ อำเภอแม่สะเรียง

10.15 น. – เครื่องบิน CASA ปล่อยสารฝนหลวงสูตร 3 ปริมาณ 1,000 กิโลกรัม บริเวณ อำเภอลี้ จ.ลำพูน

.

ศูนย์อุตุนิยมวิทยาภาคเหนือ ออกประกาศเตือนฉบับที่ 3 (14/2568) ว่า ตั้งแต่วันที่ 16-20 มีนาคม 2568 ภาคเหนือจะเผชิญ พายุฤดูร้อน ซึ่งจะมาพร้อมกับ พายุฝนฟ้าคะนอง, ลมกระโชกแรง และลูกเห็บตก ในบางพื้นที่ โดย 16-17 มีนาคม พายุจะเริ่มจากภาคเหนือฝั่งตะวันออก ก่อนที่อุณหภูมิจะลดลง 2-4 องศาเซลเซียส

 

จังหวัดที่คาดว่าจะได้รับผลกระทบ

16 มี.ค. 68 – น่าน, อุตรดิตถ์, พิษณุโลก, พิจิตร, เพชรบูรณ์

17 มี.ค. 68 – เชียงใหม่, ลำพูน, ลำปาง, แพร่, ตาก, กำแพงเพชร, สุโขทัย

.

โดยในช่วงบ่ายวันนี้ นายศิวกร บัวป้อง รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ จะลงพื้นที่ อำเภอเชียงดาวเพื่อติดตามสถานการณ์ไฟป่า และประธานในการประชุมศูนย์อำนวยการป้องกันและแก้ไขปัญหาหมอกควันไฟป่าอำเภอเชียงดาว

ทั้งนี้จังหวัดเชียงใหม่ขอแจ้งเตือนประชาชนให้หลีกเลี่ยงการทำกิจกรรมกลางแจ้งในระยะนี้ที่มีปริมาณ PM 2.5 สะสมในอากาศปริมาณมากจากแหล่งกำเนิดฝุ่น และปัจจัยจากสภาพอากาศ ในช่วงนี้ ลมตะวันตกเฉียงใต้ ที่พัดผ่านพื้นที่ที่มีจุดความร้อนจำนวนมากเข้าสู่จังหวัดแม่ฮ่องสอน และจังหวัดเชียงใหม่ และได้พัดพาฝุ่นเข้ามา พร้อมทั้งสภาพอากาศที่แปรปรวนในระยะนี้ จะทำให้มีพายุฝนฟ้าคะนอง ในพื้นที่เสี่ยงควรเฝ้าระวัง และหลีกเลี่ยงการเดินทาง หลีกเลี่ยงการอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ และป้ายโฆษณาที่ไม่แข็งแรง พร้อมเสริมความแข็งแรงให้กับโรงเรือน และผลผลิตทางการเกษตร หากมีความจำเป็นต้องทำกิจกรรมกลางแจ้งควรสวมหน้ากากอนามัยทุกครั้ง

 

ศูนย์ข่าวภาคเหนือ 24northernnews เชียงใหม่